การรักษาโรคเอดส์ได้มีการพัฒนามาตลอดมีการพัฒนายาใหม่ๆ
และการใช้ยาร่วมกัน การรักษาโรคเอดส์สมัยก่อนผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะเสียชีวิต
แต่ปัจจุบันได้มีการพัฒนารักษาไวรัส
รวมทั้งมีการใช้ยาร่วมกันทำให้ผู้ป่วยมีชีวิตยาวขึ้น
และมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นกว่าก่อน ดังนั้นผู้ที่ติดเชื้อ HIV ควรจะปรึกษาแพทย์เสียแต่เนินเพื่อวางแผนการรักษา
เชื้อ HIV จะทำลายระบบภูมิคุ้มกันโดยการทำลายเซลล์ CD4
เมื่อภูมิคุ้มกันอ่อนแอก็จะเกิดการติดเชื้อฉวยโอกาส
การรักษาโดยการให้ยาต้านไวรัสเป็นเพียงหยุดหรือทำให้เชื้อไวรัสแบ่งตัวลดลง
ทำให้โรคไม่รุกลามจนกลายเป็นเอดส์
ข้อมูลที่จะนำเสนอเป็นข้อมูลสำหรับผู้ป่วยเพื่อวางแผนการรักษา
เลือกแพทย์และโรงพยาบาลที่รักษา
ปัจจัยข้อหนึ่งที่ทำให้การรักษาประสบผลสำเร็จคือแพทย์ผู้รักษาและโรงพยาบาล
ทีมงานทางการแพทย์ต้องมีคุณภาพต้องเข้าใจปัญหาที่ผู้ป่วยต้องประสบอยู่ทุกวัน
ต้องวางแผนการรักษา ให้ความรู้ การป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อ การป้องกันผู้อื่นมิให้ได้รับเชื้อจากตัวผู้ป่วย ผู้ที่ติดเชื้อมักจะมีปัญหาร่วมด้วย
เช่นปัญหาทางด้านจิตใจ ปัญหาเรื่องยาเสพติดปัญหาสุขภาพจิต และปัญหาสังคม
ซึ่งปัญหาเหล่านี้สามารถปรึกษากับทีมงานที่รักษา แจะต้องไว้ใจซึ่งกันและกัน
เข้าใจหลักการรักษา
ผู้ป่วยโรคเอดส์มีปัญหาคือเชื้อ HIV ไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายซึ่งสร้างโดย
CD4 Cell
เมื่อเชื้อมีปริมาณมาก เซลล์ CD4
Cell ก็จะต่ำ ควรเริ่มการรักษาก่อนที่ภูมิจะถูกทำลาย
นอกจากดูจำนวน CD4 Cell
แล้วยังต้องดู viral load คือดูปริมาณเชื้อที่อยู่ในกระแสเลือดนั้นเอง
viral load มากเชื้อในร่างกายก็จะมากอวัยวะก็ถูกทำลายมากและเร็วและยังเกิดการกลายพันธ์ทำให้เกิดเชื้อดื้อยาได้ง่าย
ดังนั้นเป้าหมายการรักษาจะต้องให้ปริมาณเชื้อในร่างกายมีน้อยที่สุด (viral
load น้อยที่สุด)
การรักษาจะใช้ยาร่วมกันหลายชนิดเพื่อป้องกันเชื้อดื้อยา
โปรดจำไว้ว่าหากเกิดผลข้างเคียงจากยาที่ใช้รักษาอย่าหยุดยาชนิดใดชนิดหนึ่งโดยลำพัง
ให้ปรึกษาแพทย์เปลี่ยนยาเพราะอาจจะทำให้เชื้อดื้อยา
การเลือกใช้ยารักษา
การจะเลือกใช้ยารักษาขึ้นกับปัจจัยดังต่อไปนี้
ปริมาณเซลล์ CD4 และปริมาณเชื้อHIV ( viral load )ประวัติการรักษาโรคติดเชื้อ
HIVปริมาณยาที่ใช้และราคายาผลข้างเคียงของยาการออกฤทธิ์ต้านกันของยาเมื่อไรจะเริ่มรักษา
ผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นเหมือนกันว่าจะเริ่มรักษาโรคเมื่อ
ผู้ป่วยมีอาการของโรคเอดส์ เซลล์ CD4 ลดลง มีปริมาณเชื้อมาก(viral
load) การรักษาผู้ป่วยจะแยกเป็นกรณี การรักษาหลังสัมผัสโรคติดเชื้อ HIV (
Post-Exposure Prophylaxis ) ผู้ที่ได้รับสัมผัสเชื้อภายใน 72 ชั่วโมง
เช่นการที่เจ้าหน้าที่ถูกเข็มตำขณะทำงานโดยที่เข็มนั้นเปลื้อนเลือดผู้ป่วยHIV
การเจาะเลือดหา viral load หรือ antigen หรือ antibodyหลังสัมผัสเชื้อHIV
จะยังไม่พบ การให้ยาแก่คนที่สัมผัสโรคสามารถป้องกันการติดเชื้อ HIV สำหรับผู้ที่ร่วมเพศกับผู้ที่ไม่ทราบว่าติดเชื้อ
HIV หรือไม่
ยังไม่มีรายงานว่ามีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากแค่ไหน
ผู้ที่สัมผัสโรคต้องปรึกษากับแพทย์ว่ามีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน ให้ยา
และจะให้ยานานแค่ไหน ผลข้างเคียงของยามีอะไรบ้างPrimary Infection หมายถึงภาวะตั้งแต่เริ่มได้รับเชื้อจนกระทั้งภูมิต่อเชื้อ
HIV เพิ่มจนสามารถตรวจพบได้ ระยะนี้มีเวลาประมาณ
12-20 สัปดาห์ หากพบผู้ป่วยระยะนี้ต้องรีบให้การรักษาโดยเร็ว
แพทย์ส่วนใหญ่แนะนำว่าให้รับประทานตลอดชีวิต แต่บางท่านแนะนำให้รับประทานยา 24
เดือนแล้วลองหยุดยาเป้าหมายในการรักษา
เชื้อ HIV เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคเอดส์
การยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อ HIV จะทำให้หยุดหรือชะลอการดำเนินของโรคเอดส์โดยมีเป้าหมายการรักษาดังนี้
เพื่อยืดอายุและทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นในระยะยาวหยุดการแบ่งตัวของไวรัสให้เหลือน้อยที่สุด(น้อยกว่า
50)
และนานที่สุดสามารถใช้ยาได้อย่างมีประสิทธิภาพให้นานที่สุดลดผลข้างเคียงของยาข้อสำคัญผู้ที่ติดเชื้อ
HIV สามารถมีชีวิตอยู่ได้ระยะยาวโดยที่ไม่ได้รักษาโดยที่ไม่เกิดอาการ
ดังนั้นผู้ป่วยบางรายยังไม่จำเป็นต้องรีบรักษา ควรปรึกษาแพทย์การติดตามการรักษา ก่อนการรักษาแพทย์จะตรวจจำนวน CD4-T
และ viral load (HIV RNA testing) 2
ครั้งเพื่อเป็นค่าไว้สำหรับเปรียบเทียบหลังการรักษา 4-8
สัปดาห์แพทย์จะเจาะเลือดอีกถ้าได้ผลดีและอาการผู้ป่วยคงที่ก็จะเจาะเลือดทุก 2-4
เดือนแต่ถ้ามีการลดลงของ CD-T แพทย์ก็จะเจาะเลือดบ่อยขึ้นเมื่อไรจึงจะบอกว่ารักษาไม่ได้ผลต้องเปลี่ยนสูตรการรักษา
ดัชนีชี้วัดว่าการรักษาไม่ได้ผลต้องเปลี่ยนสูตรการรักษามีดังนี้
หลังรักษา 4-8 สัปดาห์แล้วปริมาณ viral
load ไม่ลดหลังรักษา 4-6 เดือนยังตรวจพบ viral
load แต่ต้องคำนึงถึงปริมาณเชื้อที่ตรวจพบก่อนรักษาด้วย
หากเริ่มรักษาปริมาณเชื้อสูง
หลังรักษาเชื้อน้อยลงมากก็อาจจะไม่ต้องเปลี่ยนยาตรวจพบเชื้อใหม่หลังจากที่ตรวจไม่พบ
แสดงว่าเชื้อดื้อยาปริมาณ HIV RNA เพิ่มขึ้น 3
เท่าโดยที่ไม่มีการฉีดวัคซีนหรือการติดเชื้อปริมาณ CD4-T
ลดลงอย่างต่อเนื่องสองครั้งติดต่อกัน อาการของผู้ป่วยแย่ลง
เช่นผู้ป่วยที่กำลังรักษาด้วยยาและกลายเป็นโรคเอดส์การติดตามการรักษา
หลังการรักษาด้วยยาต้านไวรัส HIV เมื่อผู้ป่วยอาการดีขึ้นแพทย์อาจจะนัดตรวจทุก
3-6 เดือน แพทย์จะนัดตรวจเพื่อประเมินสิ่งต่อไปนี้
ดูประสิทธิผลของยา หากได้ผลดี CD4-T และ
viral load ควรจะอยู่ในเกณฑ์ดีผลข้างเคียงของยา
และปัญหาเกี่ยวกับผู้ป่วยดูการดำเนินของโรคว่าเป็นไปเป็นโรคเอดส์หรือยังดูว่ามีโรคฉวยโอกาสเกิดขึ้นหรือยังดูแลสุขภาพทั่วไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น